ละสังขาร

คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง

วันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2543

ละสังขารจากโลกนี้ไปอย่างผู้มีชัยชนะ

ช่วงเช้ามืดของวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2543 คุณยายมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ท่านได้ละสังขารจากโลกนี้ไปอย่างผู้มีชัยชนะ  ตลอดช่วงเวลาของชีวิตคุณยาย ท่านได้ฝึกฝนตนเอง และมอบคำสอนล้ำค่าไว้ให้เป็นสมบัติของพระพุทธศาสนา ปิดนรก เปิดสวรรค์ ชี้หนทางพระนิพพาน นำพาความสุขที่แท้จริงให้กับเหล่าศิษยานุศิษย์ ตลอดจนชาวโลกอีกมากมาย ทั้งภพชาตินี้ และภพชาติต่อๆไป

เนื้อนาบุญจาก 30,000 กว่าวัด ทั่วประเทศไทย

      หลังจากคุณยายอาจารย์ฯละสังขาร หลวงพ่อธัมมชโยได้มีดำริให้สวดพระอภิธรรมติดต่อกันเป็นเวลา 500 วัน ณ บ้านแก้วเรือนทอง ซึ่งอยู่ด้านเหนือของสภาธรรมกายสากล โดยอาราธนานิมนต์พระเถรานุเถระ พระสังฆาธิการจากทุกจังหวัดทั่วประเทศมาร่วมงาน
ในงานสลายร่างคุณยายอาจารย์ฯ หลวงพ่อธัมมชโย ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่เพื่อจัดพิธีบุญบูชาธรรมคุณยายอาจารย์ฯที่ได้สอนวิชชาธรรมกาย โดยถวายหนังสือฎีกาที่ได้ลงนามของท่านด้วยมือของท่านเอง เพื่อนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ทั่วเมืองไทยจาก 30,000 วัดทั่วประเทศไทย เพื่อให้เหล่าศิษยานุศิษย์ถวายมหาสังฆทานสั่งสมบุญใหญ่อุทิศแด่คุณยายอาจารย์ฯ ผู้เป็นที่เคารพรักยิ่งของศิษยานุศิษย์ทั่วโลก

ความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี

     เนื่องจากคุณยายอาจารย์ฯท่านเคยกล่าวว่า เมื่อละสังขารแล้วท่านยังไม่เข้านิพพาน แต่จะสวมขันธ์ของกายทิพย์ไปอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ซึ่งเป็นชั้นที่พระบรมโพธิสัตว์ ทั้งนิยตโพธิสัตว์และอนิยตโพธิสัตว์สถิตอยู่ เพื่อสั่งสมบุญบารมีต่อไป ดังนั้น การสร้างบุญใหญ่อุทิศถวายท่าน จึงเป็นสิ่งที่ศิษยานุศิษย์ทั้งหลายพึงกระทำอย่างยิ่ง เพราะเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที ต่อครูบาอาจารย์ ซึ่งเป็นเครื่องหมายของคนดี ตามพุทธพจน์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

      นับว่าคุณยายอาจารย์ฯแม้ละสังขารแล้ว ร่างของท่านก็ยังมีคุณูปการต่อวัดพระธรรมกาย เป็นเหตุให้คณะสงฆ์ทั่วประเทศได้มาวัดพระธรรมกายและร่วมทั้งอนุโมทนาและสนับสนุนการทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกายไปทั่วโลกอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน จึงกล่าวได้ว่าท่านเป็น

ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของวัดพระธรรมกาย

"ถ้าไม่มีคุณยาย ก็ไม่มีหลวงพ่อ ถ้าไม่มีหลวงพ่อ ก็ไม่มีวัดพระธรรมกาย"

อัฐิของคุณยายอาจารย์ฯ

ได้เปลี่ยนเป็นอัฐิธาตุที่มีลักษณะเป็นรัตนชาติ

      ภายหลังการสลายร่าง อัฐิของคุณยายอาจารย์ฯได้เปลี่ยนเป็นอัฐิธาตุที่มีลักษณะเป็นรัตนชาติ คือ เป็นเกล็ดทอง ทับทิม และแก้ว จึงได้อัญเชิญบรรจุไว้ภายใน มหารัตนธาตุเจดีย์ ประดิษฐาน ณ บ้านแก้วเรือนทองคุณยายฯ เพื่อให้สาธุชนได้สักการะและเอาเป็นแบบอย่างในการฝึกสมาธิภาวนาเช่นเดียวกับท่าน และเหล่าศิษยานุศิษย์จึงได้สถาปนาท่านว่า คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง

จะต้องไปให้ถึง ที่สุดแห่งธรรมให้ได้

     ทุกคนเกิดมาในโลกนี้ เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญ สร้างบารมี แต่คุณยายอาจารย์ฯท่านทำยิ่งไปกว่านั้นอีก คือ ท่านมุ่งขจัดต้นเหตุแห่งกิเลสอาสวะ จะปราบมาร รื้อสัตว์ขนสัตว์ ไปสู่ที่สุดแห่งธรรม และปฏิปทาในการสร้างบารมีของท่านเป็นแบบไร้ขีดจำกัด ไม่มีกำหนดเวลา หมายความว่า จะสร้างบารมียาวนานอีกกี่ภพกี่ชาติก็ไม่สำคัญ สำคัญว่า “จะต้องไปให้ถึง ที่สุดแห่งธรรมให้ได้”

     ตลอดเวลาของการสร้างวัดพระธรรมกาย คุณยายอาจารย์ท่านจะคอยแนะนำพร่ำสอนให้ศิษย์ทุกคนตั้งมั่นอยู่ในเส้นทางธรรม ท่านคอยประคับประคอง ชี้แนะแนวทางการสร้างบุญอยู่เสมอ โดยมุ่งเน้นให้ทุกคนรู้จักรักษาระเบียบวินัย รักษาความสะอาด และรักการปฏิบัติธรรมเป็นชีวิตจิตใจ
จนอาจกล่าวได้ว่า วัดพระธรรมกายในวันนี้ที่ได้ชื่อว่า เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มีคนมาประพฤติปฏิบัติธรรมมากที่สุดในโลก ล้วนมีคุณยายอาจารย์ มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จทุกอย่างทุกประการ

คุณยายเป็นประดุจดั่งพระเจดีย์

 

    ไม่ว่าท่านจะมีชีวิตอยู่ หรือละจากโลกนี้ไปแล้ว หากเรามีจิตเลื่อมใส ทำบุญบูชาท่านย่อมได้ผลบุญมาก ไม่แตกต่างกัน สาเหตุที่ทำบุญกับคุณยายแล้วได้บุญมาก เพราะท่านเป็นที่รวมของผู้บริสุทธิ์ ผู้รู้ ผู้มีอานุภาพภายใน

     คุณยายมีหน้าที่ ทำวิชชาธรรมกาย เพื่อปราบพญามาร กายมนุษย์ของท่าน เป็นประดุจฐานทัพ ที่รองรับพระธรรมกาย นับพระองค์ไม่ถ้วน เป็นประดุจดั่งพระเจดีย์ พระเจดีย์ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระรัตนตรัย กายท่านจึงเป็นที่รองรับวิชชาธรรมกายตลอดเวลา ซึ่งพระธรรมกายแต่ละพระองค์ ก็เป็นแหล่งแห่งความบริสุทธิ์ แหล่งแห่งบุญ และอานุภาพอันไม่มีประมาณ คือไร้ขอบเขต สมบูรณ์เพียบพร้อมด้วยวิชชา 3 อภิญญา 6 และจรณะ 15 เป็นต้น

                                                                                                                      ทบทวนโอวาทคุณครูไม่ใหญ่

รัตนอัฐิธาตุ

คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง

รัตนอัฐิธาตุ

     คำว่า “รัตนอัฐิธาตุ” ที่หลวงพ่อเรียกขึ้นมา ไม่ใช่ว่าจู่ ๆ จะตั้งขึ้นมาลอย ๆ แต่เป็น “เนมิตกนาม” ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงธาตุหยาบของคุณยายให้มีลักษณะ เป็นรัตนชาติ (เนมิตกนาม คือ นามที่เกิดจากลักษณะและคุณสมบัติที่มี) เหมือนคำว่า“พระนางมัลลิกา” เพราะตอนพระนางเกิด มีดอกมะลิร่วงลงมาจากในอากาศ หรือคำว่า “พุทโธ”ก็เป็นเนมิตกนามของการบังเกิดขึ้นของพุทธรัตนะ หรือคำว่า “ธรรมกาย” ก็เป็นเนมิตกนามของการบังเกิดขึ้นของกายธรรม

       หลวงพ่อเป็นคนขี้สงสัย ตอนคุณยายมีชีวิตอยู่พอมีอะไรก็จะซักจะถามคุณยายอยู่เรื่อย หรืออย่างอัฐิธาตุของท่าน ชิ้นที่เปลี่ยนเป็นทองคำ ในตอนแรกเป็นแผ่นบางๆของขี้เถ้า ซึ่งตรงนี้น่าทึ่งทีเดียว คือ ในชิ้นเดียวกัน เป็นทองครึ่งแผ่น แต่อีกครึ่งเป็นเถ้า เป็นการแสดงเพื่อไม่ให้ใครสงสัยว่า ไปเอาแผ่นทองคำเปลวมาใส่อะไรอย่างนั้น เพราะว่าโถแก้วที่บรรจุอัฐิธาตุของคุณยายเก็บไว้อย่างดี เอาผ้าผูกเอาไว้ ไม่ให้ใครเข้าไปยุ่ง ซึ่งการที่ใครจะเอาทองมาโปรย หรือว่าเอาเพชรมาโปรย คงทำไม่ได้แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เกิดขึ้นเนื่องจากอานุภาพแห่งความบริสุทธิ์และบุญบารมีของท่าน ที่จะเป็นกำลังใจให้กับลูกหลานของท่านในการสร้างบารมี

       รัตนอัฐิธาตุของท่านใสพราวเหมือนเพชรพราวแสงบางชิ้นสีแดงเหมือนทับทิม บางชิ้นสีน้ำเงินเหมือนไพลินเป็นรัตนชาติ แต่จะซ่อนอยู่ลึก ๆ ต้องดูตามช่องให้ดี ดูให้ทั่วถึง แต่ชิ้นที่เปลี่ยนแปลงต่อหน้าต่อตาก็คือ ชิ้นที่มีขนาดใหญ่ประมาณสัก 1 ตารางเซนติเมตรที่เป็นแผ่นบางๆ จะค่อยๆเปลี่ยนเป็นทองคำทีละน้อยๆแล้วก็เปลี่ยนพรึบเต็มเลย ซึ่งการเปลี่ยนเป็นทองคำคงมาจากการที่ท่านได้กลั่นธาตุของท่านอยู่เรื่อย ๆ

อัฐิธาตุของท่านจะรวมตัวกันเป็นธาตุศักดิ์สิทธิ์

แสดงให้เห็นถึงคุณธรรม คุณวิเศษ ข้อวัตรปฏิปทาและการประพฤติตนอันบริสุทธิ์บริบูรณ์ของครูบาอาจารย์

    หลวงพ่อได้รับความรู้เพิ่มเติมจากลูกหลานของหลวงพ่อบางรูปที่มรณภาพไปแล้ว ซึ่งเคยไปทำบุญมากับ ครูบาอาจารย์ผู้มีคุณวิเศษในกาลก่อนว่า เมื่อถึงกาลที่ท่านละสังขาร หลังจากสลายร่างท่านแล้ว อีกหลายปีต่อมา อัฐิธาตุของท่านจะรวมตัวกันเป็นธาตุศักดิ์สิทธิ์แตกต่างจาก อัฐิธาตุของปุถุชนธรรมดาทั่วไป ซึ่งปรากฏการณ์อย่างนี้ แสดงให้เห็นถึงคุณธรรม คุณวิเศษ ข้อวัตรปฏิปทาและการประพฤติตนอันบริสุทธิ์บริบูรณ์ของพระอาจารย์ผู้มีคุณวิเศษท่านนั้น ๆ

    แต่อัฐิธาตุของคุณยายเรา ก็น่าแปลก น่าอัศจรรย์ ตรงที่ไม่ต้องผ่านกาลเวลาเป็นปี ๆ หรือหลาย ๆ ปีเป็นสิ่งที่เมื่อเห็นแล้ว ทำให้เกิดกำลังใจ ในการที่จะสร้างบารมี แต่นี่ไม่ใช่หมายความว่า เราจะเอาครูบาอาจารย์ของเราไปเบ่งทับ หรือไปข่มใคร ไม่ใช่อะไรอย่างนั้นนะ แต่เป็นความไม่เข้าใจของหลวงพ่อต่างหาก ที่เดิมไม่ทราบว่า ต้องมีกาลเวลา ต้องใช้เวลาหลาย ๆ ปี สิ่งนี้จึงจะเกิดขึ้น…